คุณเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าเหตุใดศาสนาพุทธเราจึงสั่งสอนให้มนุษย์ละความรัก โลภ โกรธ หลงในตัวเอง ยิ่งละจนหมดได้ก็ยิ่งดี ทั้งที่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนต้องมีให้เกิดอารมณ์จิตใจเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ อารมณ์รักก็มีเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าตัวเรารักเขามากแค่ไหนเพื่อสานมิตรภาพกับความสัมพันธ์ ความโลภก็เป็นปกติที่เราอยากได้ของต่าง ๆ มาซึ่งก็เป็นรสชาติที่ทำให้ชีวิตไม่น่าเบื่อมีเป้าหมาย ความโกรธก็เป็นสิ่งที่เราต้องแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายกลัวและรู้ตัวว่าทำผิด ส่วนความหลงก็เป็นอารมณ์ที่ต้องเกิดท่ามกลางการกำเนิดของทุกอย่างรอบตัวที่แปลกใหม่ซึ่งทำให้เราเกิดความร่าเริงใจ ไม่ทุกข์ แต่สุดท้ายแล้วถึงคุณจะมองอารมณ์เหล่านี้ในด้านดีแค่ไหน ทุกอย่างก็ย่อมทำให้เกิดทุกข์ในท้ายที่สุดอยู่ดี ศาสนาพุทธจึงมีเป้าหมายให้ละความรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไรเล่า หากคุณอยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดทุกข์อย่างไรก็จงตามไปอ่านพร้อม ๆ กัน
ความรัก

ความรักไม่ใช่การที่คุณมีเป้าหมายใช้เพื่อแสดงออกให้อีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคนรัก พ่อแม่ หรือทุกคนได้เห็นว่าคุณรักพวกเขามากแค่ไหน เพราะความรักที่แท้จริงสามารถสัมผัสกันได้จากใจอยู่แล้ว สิ่งที่คุณคิดจึงผิดไปจากความเป็นจริงของโลกที่หลายคนมองข้าม ความรักย่อมทำให้เกิดความทุกข์ในบั้นปลาย เพราะยิ่งรักมาก เมื่อต้องพรากจากของรักก็ย่อมจะทำให้คุณเจ็บปวดใจเป็นเท่าทวีคูณจนไม่เป็นอันทำอะไรหรือไม่สามารถมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ได้ บางคนที่รักมากเกินไปก็อาจติดอยู่ในบ่วงของความรักจนต่อให้เอาอะไรมาก็ไม่สามารถแกะบ่วงนั้นได้ เมื่อตายไปแล้วคนคนนั้นก็จะต้องติดอยู่ที่เดิม เป็นทุกข์แก่ตัวเองเพราะความรักแท้ ๆ ศาสนาพุทธจึงมีเป้าหมายให้ละความรัก
ความโลภ

ความโลภย่อมมีในมนุษย์ทุกคน อย่างน้อยหากพูดยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ก็คือ ไม่มีใครที่จะมอง “เงิน” เป็น “ของไร้ค่า” เพราะเงินมีความสำคัญต่อการเลี้ยงชีพตัวคุณเองและคนอื่นตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ที่ทุกอย่างที่เป็นของนอกกายและปัจจัย 4 ต้องใช้เงินซื้อ แม้จะประหยัดโดยซื้อวัสดุมาทำเองก็ยังต้องมีเงิน ความอยากได้หรือความโลภจึงมีในมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมากหรือน้อยก็ตาม ถ้าโลภน้อยก็มีทุกข์ในบั้นปลายน้อยเพราะปล่อยวางได้โดยไม่ห่วงว่าของมีค่าใด ๆ เมื่อเราป่วยหรือตายจะตกไปอยู่กับคนไม่เห็นค่า ตกไปอยู่กับใครหรือไม่ จิตวิญญาณก็จะไปสบาย แต่หากโลภเยอะก็จะไม่ยอมไปไหนได้ง่าย ๆ มีแต่จิตที่ผูกติดสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป เพราะคุณไม่สามารถใช้ได้แล้วหากมันจะไปอยู่ในมือใครก็ต้องขึ้นอยู่กับบุญกรรมคนคนนั้น ใช้ดีก็ดีกับตัว ใช้ไม่ดีก็เกิดผลเสียกับเขาอยู่แล้ว การผูกติดกับความโลภตัวเองจึงไร้คุณค่า ศาสนาพุทธจึงมีเป้าหมายให้ละความโลภ
ความโกรธ

ความโกรธไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเลย มีแต่จะทำให้คนเราไม่รู้จักการให้อภัยกัน เกิดความแค้นอาฆาตพยาบาท ต้องการให้เขารู้ว่าเขาผิดที่ทำกับเราไว้เช่นนั้นเช่นนี้ ต้องการให้แสดงให้เขารู้ว่าคุณเจ็บปวดจนอยากให้เขาเจ็บปวดตาม นั่นคือการประสงค์ร้ายที่มีแต่จะสร้างบาปให้ตัวคุณเอง ทุกคนย่อมโกรธได้หากเป็นมนุษย์ เพียงแต่เมื่อโกรธแล้งก็จงควบคุมอารมณ์ของตัวคุณเองอย่าให้ไปทำร้ายใครด้วยสีหน้า ท่าทาง และวาจาเพื่อสร้างศัตรูได้ มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกัน หากใช้อารมณ์อยากให้อีกฝ่ายได้รับผลกรรมที่ทำกับคุณ นอกจากความสะใจแล้ว คุณจะได้อะไรกลับไปล่ะ? ก็ไม่มี ทุกอย่างว่างเปล่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรและทำเอาเขาที่เป็นมนุษย์ถึงตายหรือบาดเจ็บ เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเคยทำอะไรกับคุณไว้อยู่ดี ฉะนั้นศาสนาพุทธจึงมีเป้าหมายให้ละความโกรธ
ความหลง

ความหลง…หลงใหลในกิเลส หลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียงที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากสิ่งแปลกใหม่ต่าง ๆ ในโลก ทุกอย่างอาจทำให้คุณมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ได้มั่นคงเช่นนั้นตลอดเวลาจนคุณตายหรอก ความหลงไม่ได้ทำให้เกิดทุกข์โดยตรง มีแต่สร้างภาพลวงตาให้คุณหลงไปกับมันจนลืมโลกแห่งความจริงที่มีคุณค่ามั่นคงต่อคุณข้างหลัง พอรู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้วและคุณก็พลาดสิ่งดี ๆ หลายอย่างในชีวิตไปซึ่งตรงนี้ล่ะจะทำให้เกิดความทุกข์ และหากใครที่หลงมัวเมาอยู่ในบางสิ่งมากเกินไปก็อาจทำให้ถลำลึกจนเดือดร้อนตัวเองกับคนรอบข้างได้ ขอให้ระวังภัยเงียบจากความหลงด้วย ฉะนั้นศาสนาพุทธจึงมีเป้าหมายให้ละความโกรธหลง
รูปภาพประกอบ : Pixabay
#หลักชีวิต #ปรัชญาใช้ชีวิต #หลักศาสนาพุทธ