โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิลตั้งอยู่ใกล้เมืองพริเพียต (Pripyat) ทางตอนเหนือของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียดยูเครนซึ่งได้เกิดอุบัติเหตุการระเบิดขึ้น การระเบิดครั้งนี้องค์การสหประชาชาติระบุว่าเป็นหายนะที่เกิดจากนิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 1986 เกิดภัยพิบัติขึ้นที่เชอร์โนบิล โดยมีต้นเหตุเกิดจากอุบัติเหตุที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ถือเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์และมีสาเหตุจากอุบัติเหตุทางพลังงานนิวเคลียร์หนึ่งในสองครั้งที่มีระดับความรุนแรงสูงสุดในระดับเหตุการณ์ระหว่างประเทศและอีกเหตุการหนึ่งคือภัยพิบัติโรงไฟฟ้าเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิในปี 2011 ในญี่ปุ่น
อุบัติเหตุที่เชอร์โนบิลเริ่มเกิดระหว่างการทดสอบความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบ RBMK ซึ่งใช้กันทั่วไปในสหภาพโซเวียด การทดสอบนี้เป็นการจำลองเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเพื่อช่วยในการพัฒนาขั้นตอนความปลอดภัยในการรักษาการหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์จนกว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองจะสามารถจ่ายพลังงานได้ ช่องว่างนี้มีเวลาประมาณหนึ่งนาทีและถูกระบุว่าเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจทำให้แกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ร้อนเกินไป

ความคาดหวังว่าในระหว่างการปิดเครื่องปฏิกรณ์ตามกำหนดเวลาพลังงานหมุนเวียนที่เหลืออยู่ในเครื่องกำเนิดพลังงานสามารถให้พลังงานเพียงพอที่จะครอบคลุมช่องว่างนี้ การทดสอบดังกล่าวที่เชอร์โนบิลสามครั้งก่อนหน้าดำเนินการตั้งแต่ปี 1982 แต่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ในความพยายามครั้งที่สี่นี้มีความล่าช้าที่ไม่ได้คาดไว้เกิดขึ้นถึง 10 ชั่วโมง หมายความว่ามีช่วงเวลาของการปฏิบัติการที่ไม่ได้เตรียมการที่กำลังเตาปฏิกรณ์ต้องทำงานอยู่
ในระหว่างที่กำลังเตาปฏิกรณ์ลดลงตามแผนเพื่อเตรียมการทดสอบที่เชอร์โนบิล เกิดเหตุกำลังไฟฟ้าลดลงโดยไม่คาดคิดถึงระดับใกล้ศูนย์ ผู้ปฏิบัติงานสามารถเรียกคืนกำลังไฟฟ้าได้เพียงบางส่วนซึ่งทำให้เครื่องปฏิกรณ์อยู่ในสภาพที่ไม่เสถียร การตอบสนองความเสี่ยงนี้ไม่ปรากฏชัดเจนในคู่มือการทำงาน ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจึงดำเนินการทดสอบทางไฟฟ้าต่อไป เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นผู้ปฏิบัติงานได้พยายามปิดเครื่องปฏิกรณ์ แต่การรวมกันของสภาวะที่ไม่เสถียรและข้อบกพร่องในการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ทางนิวเคลียร์ที่ไม่สามารถควบคุมได้แทน
พลังงานจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้น้ำหล่อเย็นที่ร้อนจัดและทำให้แกนเครื่องปฏิกรณ์แตกออกจากการระเบิดของไอน้ำที่มีกำลังทำลายล้างสูง สิ่งที่ตามมาทันทีคือไฟจากแกนเครื่องปฏิกรณ์ที่เปิดโล่งของเชอร์โนบิลได้ปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกไปในอากาศจำนวนมากเป็นเวลาประมาณเก้าวันซึ่งทำให้เกิดตะกอนกระจายไปยังส่วนต่างๆ ของสหภาพโซเวียดและยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะเบลารุสซึ่งอยู่ห่างออกไป 16 กิโลเมตร
การปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสีในปริมาณที่เท่ากับการระเบิดครั้งแรก อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของระดับรังสีในพื้นที่รอบๆ ในรัศมี 10 กิโลเมตรจากเชอร์โนบิล ภายใน 36 ชั่วโมงหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ประชาชนราว 49,000 คนถูกอพยพออกจากพื้นที่โดยส่วนใหญ่มาจากเมืองพริเพียต ต่อมาเขตปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสีได้เพิ่มขึ้นเป็นรัศมี 30 กิโลเมตรประชาชนอีก 68,000 คนถูกอพยพออกจากพื้นที่
การระเบิดของเตาปฏิกรณ์ที่เชอร์โนบิลทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของเครื่องปฏิกรณ์เสียชีวิต 2 คน เจ้าหน้าที่สถานีไฟฟ้า 134 คนและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการของรังสีเฉียบพลันเนื่องจากร่างกายดูดซับรังสีไอออไนซ์ในปริมาณสูง ในจำนวน 134 คนมีผู้เสียชีวิต 28 รายในช่วงหลายเดือนต่อมาและมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งที่เกิดจากรังสีประมาณ 14 รายภายใน 10 ปี

สำหรับผลกระทบจากเหตุการที่เชอร์โนบิลต่อประชากรในวงกว้าง มีการบันทึกการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ในเด็กเกิน 15 ราย คณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติว่าด้วยผลของการแผ่รังสีอะตอม (UNSCEAR) ได้ทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หลายครั้งและพบว่าการเสียชีวิตที่มีระบุในเอกสารน้อยกว่า 100 รายมีสาเหตุมาจากการได้รับรังสีเพิ่มขึ้น
ในหลายทศวรรษต่อมามีการเผยแพร่ข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิตของภัยพิบัติเชอร์โนบิลแตกต่างกันไปจากผู้เสียชีวิต 4,000 คนเมื่อประเมินเพียงสามรัฐในสหภาพโซเวียดที่ปนเปื้อนมากที่สุด ไปจนถึงมีผู้เสียชีวิตประมาณ 9,000 ถึง 16,000 คนเมื่อประเมินทั้งทวีปยุโรป
เครดิตภาพ National Geographic, BBC News
#เชอร์โนบิล #เกิดอะไรขึ้นที่เชอร์โนบิล #เรื่องเล่าจากอดีต